ความห่วงใย ส่งไปไม่ถึง
- Memorable Digital Agency

- Oct 12, 2021
- 1 min read

เคยมั้ยคะเวลาเรารักใคร ห่วงใยใคร ไม่ว่าลูก ลูกน้อง พ่อแม่ คนรัก หรือเพื่อนสนิท เราพูดเพราะรัก เพราะปรารถนาดี แต่อีกฝ่ายกลับตีความไปในทางตรงข้าม ทั้งๆที่พูดไปทั้งหมด เกิดจากความรักล้วนๆ “เล่นเกมกับเพื่อนอยู่ได้ เมื่อไหร่จะเข้านอน” (จริงๆอยากให้ลูกนอนเร็ว ตื่นไปโรงเรียนอย่างสดชื่น) “ถ้ากลับถึงบ้านเวลานี้ ทำไมไม่กลับเอาตอนเช้าเสียเลยล่ะ” (ไม่อยากให้สามีดื่ม กลัวอันตรายเวลาขับรถ แต่ประชดสุดขีด ถ้าลองกลับเช้าจริงๆ โกรธยิ่งกว่าเป็นร้อยเท่า) “กินเข้าไปทำไมหนักหนาล่ะแม่ ขนมหวานเนี่ย น้ำตาลขึ้นมาที เดือดร้อนหนูอีก” (รักและห่วงแม่ แต่ยกเอาความเดือดร้อนของตัวเองมาเป็นข้ออ้าง) “มาทำงานสายขนาดนี้ จะเอาเปรียบคนอื่นไปถึงไหน” (หวังดีอยากให้ลูกน้องเป็นคนมีวินัย แต่พาลตำหนิเขาว่าเป็นคนเอาเปรียบคนอื่น) “บอกไปกี่รอบแล้วว่าผู้ชายคนนี้มันห่วยแตก ชั้นเตือนกี่รอบแล้ว แกก็ไม่เคยฟัง” (ไม่อยากให้เพื่อนทุกข์เพราะรัก แต่พอเพื่อนช้ำ กลับซ้ำเติมเข้าไปอีก) ที่เป็นเช่นนี้ เพราะหลายครั้งในความหวังดี มันบรรจุด้วยคำ บ่น ว่า ประชดประชัน และ ตำหนิติเตียนค่ะ เป็นเพราะสิ่งที่พูดออกไป ไม่ได้ใช้ “ใจ” สื่อสาร นึกถึงใจเขา น้อยกว่า "อารมณ์" ของเรา ทุกคำจึงล้วนเป็นหอกพุ่งแรง ทิ่มแทงหัวใจ ไม่ได้สื่อสารข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงไปตรงมา ไม่ได้บอกความรู้สึกที่แท้จริงของเรา ความกังวลที่เรามี สาเหตุแห่งความห่วงใย ท้ายสุด ไม่ได้บอกว่าจะให้อีกฝ่ายทำอย่างไรต่อ เพราะขาดองค์ประกอบเหล่านี้นี่แหละค่ะ “ความห่วงใย จึงส่งไปไม่ถึง” กลายเป็นดราม่า น้ำตานอง เจ็บช้ำใจ คนอยู่ใกล้กลายเป็นคนไกลห่าง เรื่องของการสื่อสารเพื่อลดความขัดแย้ง (Non-violent communication) จึงยังเป็นเรื่องจำเป็นในทุกๆความสัมพันธ์ ทั้งในชีวิตคู่ ในครอบครัว ในองค์กร หรือในระดับประเทศ หากผู้นำประเทศขาดทักษะการพูดที่แสดงถึงความเห็นอกเห็นใจ (Empathy)ประชาชนเมื่อไหร่ ยังไงความขัดแย้งก็ย่อมเกิดทุกหย่อมหญ้า



Comments